หวัดดียามเช้านะครับ ที่นี่ลมและอากาศพัดเย็นสบา
เช้านี้ ก็เลยเอาคำตอบในเฟสที่เมนท์
ธรรมดาจะโม้อยู่ในห้องธรรมท
คำบาลีเหล่านี้ สำหรับเราทั้งหลาย ออกจะงงๆ และไม่เข้าใจ และสงฆ์มากมายทั้งหลาย ก็ใช่จะเข้าใจ
หากเรียนรู้มาก จำมาก ก็ยึดมาก ใจก็จะยิ่งห่างธรรม แห่งความเป็นจริงมากขึ้น เข้าถึงความเป็นพุทธยากขึ้น
ฉะนั้น เราจึงควร อ่าน ฟังแบบสบายๆ อย่าได้ไปเป็นเจ้าของ ความหมายที่อ่านที่ฟังมาเลย
อย่าไปคิดว่าต้องจำให้ได้ ทำให้ได้ มันจะกลายเป็นตัวตนทั้งแท่ง
เมื่อวาน ตู่เขาได้ถามมาว่า กายานุปัสสนาสติปัสฐาน กับกายคตานุสติกรรมฐาน แตกต่างกันอย่างไร คำบาลีเหล่านี้ เขาก็ปรุงแต่งไปตามอักขระบา
กายคตานุสติกรรมฐานนั้น ใช้เป็นชื่อเรียก ของอนุสติ ทั้ง 10 ในกองการทำกรรมฐาน 40 กอง ที่ท่านแยกย่อยออกมา ตามแต่จริตของบุคคล
ส่วนกายานุปัสสนาสติปัสฐาน เป็นการสอดส่องเฝ้าดูการเคล
เริ่มจาก สกิทาคามีมรรค คือผู้ที่มีศีลอันเป็นวิมุต
ที่จริงถึงภูมินี้ ทุกจริต มันก็ใช้กันทั้งนั้นแหละ แต่หากยังไม่เต็มภูมิ ก็เหมาะกับพวก พุทธจริต คือพวกมีปัญญา และพวกราคะจริต คือพวก ชอบของสวยของงาม
ส่วนกายานุปัสสนาสติปัสฐาน เป็นการเจริญสติ ในอิริยาบท เช่น จะเดิน จะเหลียว จะเคี้ยว จะขี้ จะเยี่ยว จะทำอะไรๆๆ ก็ฝึกเฝ้าตามรู้อาการทางกาย
กายคตานุสติกรรมฐาน เป็นกองกรรมฐานวิปัสสนาญาณ ใช้ถอดถอนอุปาทาน ที่เราต่างยึดมั่นในรูปกายน
มองไม่เห็นความโสโครก ที่มันซ่อนอยู่ในกายอันน่าห
นั่นก็แยกออกไปแตกต่างจาก กายคตานุสติกรรมฐานอีก อสุภะนั้น เป็นการพิจารณาซากศพ ว่า เจ้าของการพิจารณา ก็ไม่พ้นไปจากซากอสุภะนี้
ไม่ได้พิจารณาเพื่อ ลดตัณหา ในการที่จะสมสู่อย่างที่เข้
โน่น ไอ้ที่ขาวๆ อวบๆ ดิ้นได้โน่น มันจะปี๊ไอ้ขาวๆ โน่น ถ้าจะปลง ต้องไปปลงไอ้ขาวๆ อวบๆ ดิ้นได้โน่น
นั่นแหละ เรียก กายคตานุสติ ไม่ใช่เรียกการปลงอสุภะ โดยการจ้องรูปศพให้หำหด
การชี้ธรรม ชี้ไม่ตรง มันก็แก้จิตให้ตรงจริตไม่ได
กายานุปัสสนาสติปัสฐาน เป็นการเฝ้าดู กายเมื่อแรกเริ่ม แล้วย้อนเข้ามาพิจารณา มีกายนอก กายใน และกายในกาย
กายนอกเป็นไฉน.. กายนอกคือรูปทั้งหลาย ในที่นี้เราหมายถึงคนที่เรา
กายในเป็นไฉน… กายในคือตัวเจ้าของ ที่แสดงออก ทาง กาย วาจา ใจ กับสิ่งกระทบกับกายนอก
กายในกายเป็นไฉน… กายในกาย คือการตามรู้ เฝ้าดูกายเจ้าของในทุกอริยา
ก็จะเห็น เวทนา ก็จะแยกออกเป็น เวทนาใน เวทนานอก เวทนาในเวทนาอีก ถ้าโม้ก็จะยาวขยายออกไปด้วย
เวทนาทั้งหลาย มันซ่อนอยู่ในกาย เมื่อเฝ้าดูกาย ย่อมเห็นเวทนา เมื่อเข้าสู่เวทนา เห็นเวทนาบ่อยๆ ก็จะเห็นจิต เพราะจิต มันซ่อนอยู่ในเวทนา
เมื่อเห็นจิตอยู่บ่อยๆ ก็จะเห็นธรรม คือความเป็นธรรมดา ที่มันเป็นธรรมชาติอยู่เช่น
ธรรมชาติแต่ละอย่างแห่งกายา
เราเฝ้ามองกาย เราก็จะเห็นเวทนา
เราเฝ้ามองเวทนา เราก็จะเห็นจิต
เราเฝ้ามองจิต เราก็จะเห็นธรรม
นี่..มันอาศัยเหตุและปัจจัย
จะอธิบายแยกย่อยลงไปอีก อย่างเช่น กายนอก กายใน และกายในกาย
กายนอก..เช่น พฤติกรรมของคนทั้งหลาย ที่แสดงออก เมื่อเกิดการกระทบ ทำให้เจ้าของ ไม่พอใจ
ความไม่พอใจของเจ้าของนี้ เรียกว่า กายใน เจ้าของกระทบแล้ว ถูกใจ ก็ชอบไปซะหมด ไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบไปซะหมด ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง นี่..เป็นอาการ ทางกาย วาจา ใจ ของภายใน
เขาทำให้เราโกรธ หรือเกิดจากเราที่มันโกรธ ที่เขาทำ นี่..หากไม่เกิดปัญญาการพิจ
ใจก็จะไหลไปตามกระแส แห่งตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู
หากเกิดการพิจารณาโดยสติ ว่าธรรมทั้งหลาย เกิดจากกายนี้ ให้มาเบรคให้มาชะลอที่กายนี้ ลด ละ เลิกมันให้เบาบางลงในกระแสแ
นี่..เป็นการพิจารณากายใน ไม่ไหลตกลงไปในธารแห่งกระแส
เขาทำให้เราโกรธ หรือ เกิดจากเราโกรธเขา เมื่อมีสติ ก็ให้มาพิจารณาว่า หากเขาทำให้เราโกรธ คนข้างๆ เรา ต่างพากันโกรธเขาด้วยหรือเป
หากพิจารณาเช่นนี้ จะเห็นว่า การโกรธ เกิดจากเราที่ไปโกรธเขา ไม่ใช่เขา ทำให้เราโกรธ ที่เราโกรธ เพราะตัวตน และทิฏฐิ มานะ อุปาทาน ที่เรายึดไว้ แล้วเขากระทำ ไม่ตรงกับความยึดมั่นแห่งอุ
เมื่อไม่ได้อย่างใจกู มันก็เลยมีตัวกูให้โกรธ นี่..เรียกว่ายึดในทิฏฐิ ไหลลงไปในกระแสที่กระทบ ไม่เข้าร่องแห่งตัวกู ความโกรธ ก็เลยมี
เมื่อพิจารณาลึกลงไปอีก หากจะดับ เจ้าตัวกูจะไปดับที่เขา ไม่ได้เลย เขาก็เป็นของเขาเช่นนั้น ดับไม่ได้ ไม่ใช่กองไฟที่จะมาสุมใจเรา
การดับ ให้มาดับที่ใจกู ทำความเข้าใจว่า โลกทั้งหลาย มันเป็นของมันเช่นนี้ ให้ไอ้ตัวกูนี่ หยุดเสือก กายนอกเขาซะบ้าง อย่าไปเสนอหน้าการเสือกแม่ง
นี่..เมื่อเห็นกายนอก เราก็จะเห็นกายใน มันมีเวทนา จิต ธรรม ซ่อนอยู่ใน กายนอกและกายในเสมอ เพียงแต่เจ้าของ มองมันไม่เห็น
คราวนี้ เราก็มาพิจารณากายในกาย ว่าที่ไอ้เดือดร้อน เต้นเร่าๆ เคลื่อนไหวไปมาอยู่นี่ มันตัวเรา เราหรือ
เมื่อพิจารณากาย ตามดูการเคลื่อนไหวจนชำนาญ จะเห็นว่า มันเป็นแค่อาการหนึ่ง เมื่อโดนกระทบ ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย และใจนี้ กายมันสะดุ้งไปแสดงไป นี่เรียกว่า เวทนา
เวทนามันอาศัย การผัสสะ จากช่องทางที่เรียกว่า อายตนะ คือ ตา หู ลิ้นฯ อะไรนี่แหละ เวทนามันจึงได้เกิด แต่ก็มีไอ้เจ้าตัวกูนี่ เข้าไปเป็นเจ้าของเวทนาอีก
มันก็เลย เกิดความ ถูกใจ ไม่ถูกใจขึ้นมาภายใน ทำให้ใจไหลไปในกระแส จนกลายเป็นตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติเกิดอะไรต่อมิอะไรไปโน่
กำลังใจที่ขาดสติ และปัญญา ย่อมมองไม่เห็นว่า เวทนาทั้งหลาย เป็นแค่อาการหนึ่งของจิต แต่มันโดนปิดบัง เพราะความมีตัวกู เข้าไปเป็นเจ้าของ ในเวทนาเหล่านั้น เราเข้าใจว่า เวทนา คืออาการเจ็บ.. นี่ยังโง่หลาย
เวทนาคือ ทุกๆ อาการที่เกิดการกระทบแล้วรู
เฮ่อ…ขี้เกียจจิ้มแล้วว่ะ
ว่างๆ แล้วจะมาร้อยเรียงธรรมอย่าง
ส่วนไอ้ที่โม้ๆ มาว่านี่คือธรรม เป็นความจริง เป็นปรมัตถ์ธรรม ไอ้ห่าเอ๊ย …มันก็กลายมาเป็นแค่สมมุต
อย่าไปอะไรมากมายกับมันเลย อยู่กับมันไป ถึงเวลาเมื่อไหร่ ทิ้ง..
เช้านี้ สวัสดี กับธรรมะสดๆ ในยามเช้า ขอความสุขความเจริญ พึงมีพึงเกิดกับทุกท่าน ให้มีดวงตาเห็นธรรม ….ขอสาธุคุณ
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง เนกขัมมะกรรมฐาน….บอกกล่า